WELCOME TO BLOG MOOK CLUB.

วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

การพูดในโอกาสต่างๆ

              การพูดในชีวิตประจำวันของคนเรานั้น นอกจากจะสื่อความรู้ความเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ
แล้ว ยังต้องสื่ออารมณ์ ความรู้สึกถ่ายทอดไปสู่กันและกันด้วย ฉะนั้นการพูดจากันนอกจาก
จะพูดคุยกันตามปกติแล้ว ยังมีการพูดในโอกาสพิเศษ เช่น การพูดในงามมงคล งานศพ
การเข้าสมาคมในโอกาสต่าง ๆ จึงจำเป็นสำหรับทุกคนที่ต้องฝึกฝนการใช้คำพูดให้ถูกต้อง
ไพเราะเหมาะสม เหมาะกับเหตุการณ์ การพูดในโอกาสต่าง ๆ ที่ควรทราบ เช่น การพูด
แนะนำ  การพูดแสดงความยินดี  การพูดแสดงความเสียใจ การกล่าวขอบคุณ การกล่าว
ต้อนรับ การพูดอวยพร การพูดสนทนาทางโทรศัพท์ การพูดเล่าเรื่องหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ
      ๑. การพูดแสดงความยินดี
      ในบางโอกาสผู้ที่เราพบปะหรือคุ้นเคยอาจจะประสบโชคดี มีความสมหวังหรือ มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตและการงานเราควรจะต้องพูดแสดงความยินดีเพื่อร่วมชื่นชม
ในความสำเร็จนั้น
            ๑.๑ วิธีการ
                  ๑) ใช้คำพูดให้ถูกต้องเหมาะสม
                  ๒) ใช้น้ำเสียง ท่าทาง สุภาพ นุ่มนวล ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
                  ๓) พูดช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำ พูดสั้น ๆ ให้ได้ใจความและประทับใจ
            ๑.๒ ตัวอย่าง
      “ขอแสดงความยินดีกับคุณที่ได้รับความไว้วางใจจากชาวบ้านในหมู่บ้านของเรา เลือกคุณด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นมาก ขอให้คุณเป็นผู้นำของพวกเรานาน ๆ สร้างความ เจริญแก่ชุมชนของพวกเราตลอดไปนะครับผมดีใจด้วยและขอสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง ความสามารถเลยครับ”
      ๒. การพูดแสดงความเสียใจ
      ในบางโอกาสญาติพี่น้องหรือคนที่เรารู้จักประสบเคราะห์กรรมผิดหวัง เจ็บป่วย
หรือเสียชีวิต เป็นมารยาทที่ดีที่เราควรพูดปลอบใจให้กำลังใจแก่ผู้ประสบเคราะห์กรรม
เหล่านั้น หรือพูดปลอบใจแก่ญาติพี่น้องของผู้เคราะห์ร้ายนั้น เพื่อให้เขาเกิดกำลังใจต่อไป
            ๒.๑ วิธีการ
                  ๑. พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เป็นเรื่องปกติ
                  ๒. แสดงความรู้สึกห่วงใยร่วมสุขร่วมทุกข์ด้วย
                  ๓. พูดด้วยน้ำเสียงแสดงความเศร้าสลดใจ
                  ๔. พูดด้วยวาจาที่สุภาพ
                  ๕. ให้กำลังใจและยินดีที่จะช่วย
            ๒.๒ ตัวอย่าง
     "ดิฉันขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งที่ทราบว่าคุณพ่อของคุณถึงแก่กรรมอย่างปัจจุบัน
ทันด่วนอย่างนี้ ท่านไม่น่าจากเราไปรวดเร็วเลยนะ ดิฉันเห็นใจคุณจริง ๆ ขอให้คุณทำใจ
ดี ๆ ไว้ความตายเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนเลย จะให้ดิฉันช่วยอะไรก็บอกมาเลยไม่ต้องเกรงใจ ดิฉันยินดีช่วยด้วยความเต็มใจจริง ๆ นะคะ”

      ๓. การพูดแนะนำ

     การพบปะบุคคลซึ่งเคยรู้จักกันมาก่อนและบุคคลอื่น ซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ก่อนที่
จะรู้จักกัน ย่อมจะต้องมีการแนะนำให้รู้จักกัน เพื่อคุยเรื่องอื่น ๆ ต่อไป การแนะนำให้รู้จัก กันมีทั้งการแนะนำ ตนเองและแนะนำผู้อื่น
            ๓.๑ การแนะนำตนเอง คือ การกล่าวถึงตนเองให้ผู้อื่นรู้จัก โอกาสในการแนะนำ
ตนเองมีต่าง ๆ ดังนั้น
                  ๑) ในการติดต่อกัน
                  ๒) ในการประชุม ชุมนุมพิเศษหรืองานเลี้ยงต่าง ๆ
                  ๓) ในฐานะเป็นสมาชิกใหม่ของชุมชนหรือสถาบัน
                  ๔) ในการเข้าสอบสัมภาษณ์
                  ๕) ในการไปติดต่อขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
                  วิธีการพูดแนะนำตนเอง
                  ๑) การกล่าวถึงเรื่องต่อไปนี้
                        ๑. คำนำคือ กล่าวทักทายผู้ฟังและอารัมภบท เช่น
                              “ท่านประธานและท่านสุภาพชนทุกท่าน”
                              ท่านประธาน พิธีกรและเพื่อนสมาชิก”
                        ๒. ชื่อและนามสกุล
                        ๓. ถิ่นกำเนิด
                        ๔. การศึกษา
                        ๕. ความรู้ความสามารถพิเศษ
                        ๖. ตำแหน่งหน้าที่การงาน
                        ๗. งานอดิเรก (ถ้ามี)
                        ๘. หลักหรือแผนการในการดำเนินชีวิต
                        ๙. ที่อยู่ปัจจุบัน
                        การกล่าวถึงจะมากน้อย หรือจะตัดเรื่องใดออกหรือพลิกแพลง อย่างไรขึ้นอยู่กับสถานที่บุคคลและโอกาสต่าง ๆ ดังกล่าว
                        ๒) แทรกเรื่องราวของชีวิตที่เด่นที่สุด ประทับใจที่สุด หรือเรื่อง
ที่ทำให้เรื่องราวมีรสชาติ น่าสนใจ และเป็นที่ประทับใจผู้ฟัง
                        ๓) เรียบเรียงเรื่องราวให้สัมพันธ์กันโดยไม่สับสน การลำดับ
เรื่องราวเป็นเทคนิคเฉพาะตน
                        ๔) ข้อความที่กล่าวจะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของสถานที่
บุคคลและโอกาสด้วย

ตัวอย่างการแนะนำตนเองในการติดต่องาน

ตัวอย่างการแนะนำตนเองในที่ประชุม


                     


ตัวอย่างการแนะนำตนเองในที่ชุมนุมชน


ท่านประธาน และสมาชิกชมรมพัฒนาชีวิตทุกท่าน
      ดิฉันขอขอบคุณพิธีกรมากค่ะ ที่ให้โอกาสดิฉันได้แนะนำตัวเอง ดิฉันนางสาวสมศรี
รัตนสุนทร  เกิดไกลหน่อยคืออำเภอปัว จังหวัดน่านค่ะ มาอยู่กรุงเทพฯ นี่ ๔ ปีแล้ว โดยดิฉัน ทำงานเป็นพนักงานขาย ที่ร้านใบแก้ว ดิฉันเรียนจบชั้นมัธยมปีที่สามที่โรงเรียนใกล้บ้าน
นั่นเองค่ะ ความที่เป็นคนช่างพูด หลังจากจบแล้วเพื่อนชวนมาทำงานที่ถูกกับนิสัยก็เลยมา และเนื่องจากดิฉันไม่มีโอกาสได้เรียนต่อ จึงเห็นว่าการศึกษาทางไกลนี้จะช่วยให้ดิฉัน
พัฒนาชีวิตได้ดียิ่งขึ้นแทนการศึกษาในโรงเรียน จึงสมัครเป็นสมาชิก และต่อไปจะตั้งใจเรียน และร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ ทุกกิจกรรมค่ะ ปัจจุบันดิฉันพักอยู่ที่ร้านที่ดิฉันทำงานนั่นแหละค่ะ ถ้ามีเรื่องใดจะให้ทำติดต่อได้ที่ร้านนั่นเลยสำหรับที่อยู่ของร้าน มีอยู่ในทะเบียนบัญชีรายชื่อ นักศึกษาแล้วค่ะ สวัสดีค่ะ
      ๓.๒ การแนะนำผู้อื่น คือ การแนะนำบุคคลที่ ๓ ให้บุคคลที่ ๒ รู้จักในโอกาสต่าง ๆ
เช่นเดียวกับการแนะนำตนเอง

          วีการแนะนำผู้อื่น
            ใช้หลักการอย่างเดียวกับการแนะนำตนเองและคำนึงถึงเรื่องต่อไปนี้เพิ่มเติมคือ
            ๑) แนะนำสั้น ๆ
            ๒) แนะนำเฉพาะเรื่องที่เป็นปมเด่น เรื่องที่เป็นปมด้อยหรือเรื่องที่ไม่เหมาะสม
ไม่ควรกล่าวถึง เรื่องที่แนะนำควรได้รับอนุญาตจากผู้ถูกแนะนำก่อน
            ๓) การแนะนำระหว่างสุภาพบุรุษกับสุภาพสตรี ต้องแนะนำให้สุภาพบุรุษรู้จัก
สุภาพสตรี โดยกล่าวนามสุภาพสตรี เช่น “คุณสุดาครับ นี่คุณพนัส รักความดี สมุห์บัญชีธนาคาร
ออมสินสาขานนทบุรี คุณพนัส นี่คุณสุดา มณีแก้วครับ สมุห์บัญชีธนาคารกรุงไทย สาขานนทบุรี
ในการแนะนำ ถ้าสุภาพบุรุษนั่งอยู่ควรยืนขึ้น แต่สุภาพสตรีถ้านั่งอยู่และได้รับการแนะนำ
ไม่ต้องยืน ถ้าเป็นการแนะนำหลายคนจะนั่งลงเมื่อแนะนำครบทุกคนแล้ว
            ๔) แนะนำผู้อ่อนอาวุโสให้รู้จักผู้อาวุโส โดยเอ่ยนามผู้อาวุโสก่อน เช่น “คุณแม่คะ นี่น้องเพื่อนของลูก” “ผู้จัดการคะ นี่คุณสมพงษ์ ใจซื่อ ประชาสัมพันธ์โรงแรมลานทองค่ะ
คุณสมพงษ์คะ นี่คุณสวัสดิ์ เรืองรอง ผู้จัดการบริษัทสมบูรณ์ที่คุณต้องการพบค่ะ”ในเรื่องอาวุโส
ถือตามวัยวุฒิ บางโอกาสถือตามตำแหน่งหน้าที่การงานผู้แนะนำต้องคำนึงตามโอกาส
ให้เหมาะด้วย
            ๕) การแนะนำบุคคลต่อที่ประชุมหรือชุมชนต่าง ๆ เอ่ยถึงกลุ่มชนก่อน เช่น
“ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย ผู้พูดช่วงเวลาต่อไปนี้คือ คุณปราโมทย์ พงษ์ทอง ผู้อำนวยการ
วิทยาลัยนานา ท่านจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ทางด้านการศึกษาจากมหาวิทยาลัย
ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร และจบปริญญาโททางด้านบริหารการศึกษาจากมหาวิทยาลัย
เดียวกัน ประสบการณ์ของท่านเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งวิทยาลัยนานาและทำหน้าที่บริหารงานมา ๕ ปี
แล้วผลิตบัณฑิตจนถึง ๔ รุ่น วันนี้ท่านสละเวลาให้เกียรติมาบรรยายเรื่อง “การศึกษากับการ
พัฒนาชนบท” เชิญท่านรับฟังแนวคิดของวิทยากรได้แล้วครับ
            ๖) การแนะนำบุคคลรุ่นเดียวกัน เพศเดียวกัน จะแนะนำใครก่อนหลังก็ได้ข้อปฏิบัติ
สำหรับการแนะนำเมื่อผ่านการแนะนำแล้ว ผู้อ่อนอาวุโสยกมือไหว้ผู้อาวุโส และผู้อาวุโสกว่า
รับไหว้ ถ้าอาวุโสเท่าเทียมกันก็ยกมือไหว้พร้อมกัน แต่ปัจจุบันมักก้มศีรษะให้แก่กันพอเป็น
พิธีก็ได้ การแนะนำในที่ประชุมเมื่อผู้รับการแนะนำต่อที่ประชุมถูกเอ่ยชื่อ ควรยืนขึ้นคารวะต่อ ที่ประชุมและที่ประชุมปรบมือต้อนรับ


      ๔. การกล่าวขอบคุณ
           การกล่าวขอบคุณอาจใช้ได้หลายโอกาส เช่น การกล่าวขอบคุณเมื่อผู้พูดหรือ
วิทยากรพูดจบ กล่าวขอบคุณเมื่อมีผู้กล่าวต้อนรับ กล่าวขอบคุณผู้มาร่วมงานหรือในกิจกรรม
กล่าวขอบคุณเมื่อมีผู้มอบของขวัญหรือของที่ระลึก ขอบคุณแต่ละโอกาสดังต่อไปนี้
            ๔.๑ การกล่าวขอบคุณผู้พูด เมื่อผู้พูดพูดจบลงผู้กล่าวขอบคุณหรือผู้ที่ทำหน้าที่
พูดแนะนำควรจะกล่าวสรุปเน้นถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการพูดครั้งนี้อย่างสั้น ๆ แล้วจึงกล่าว
ขอบคุณ
            ๔.๒ การกล่าวขอบคุณเมื่อมีผู้กล่าวต้อนรับหรือการกล่าวตอบรับ เมื่อผู้กล่าว
ต้อนรับ พูดจบแล้ว ผู้กล่าวตอบรับควรจะกล่าวตอบในลักษณะที่แสดงความรู้สึกที่มีต่อการ
ต้อนรับ และเนื้อหา ในการกล่าวตอบรับจะต้องสอดคล้องกับการกล่าวต้อนรับ ซึ่งส่วนใหญ่
จะเป็นการ แสดงความสัมพันธ์ อันดีของทั้งสองฝ่ายที่มีต่อกัน ผู้กล่าวขอบคุณควรจะเน้นจุด
สำคัญ และกล่าวเชื้อเชิญให้ผู้ต้อนรับ ไปเยือนสถานที่ของตนบ้าง
            ๔.๓ การกล่าวขอบคุณผู้มาร่วมในงานหรือในกิจกรรม ในการกล่าวขอบคุณ
ผู้มาร่วมในงาน หรือในกิจกรรมนั้นควรแสดงไมตรีจิตต่อแขกที่มาร่วมในงานแสดงความ
ขอบคุณอย่างจริงใจ และกล่าวขออภัยในความบกพร่องของกิจกรรมที่จัดขึ้น
            ๔.๔ การกล่าวขอบคุณหรือตอบรับเมื่อมีผู้มอบของขวัญหรือของที่ระลึก ผู้กล่าว
ตอบรับควรจะได้แสดงความชื่นชมในสิ่งของที่ได้รับมอบและกล่าวถึงความรู้สึกหลังจากได้รับ มอบสิ่งของนั้นแล้ว

          วิธีการกล่าวขอบคุณ

            ๑) การขอบคุณ การพูดหรือขอบคุณ ใช้ในโอกาสที่มีผู้อื่นได้ช่วยเหลือหรือมีบุญคุณ แก่เราถือว่าเป็นมารยาทที่จะต้องแสดงความยินดีและกล่าวขอบคุณในน้ำใจของเขา คือ เป็นการแสดงออกถึงการรู้คุณผู้อื่น เป็นวัฒนธรรมที่ดีงามที่ควรรักษาไว้อย่างยิ่ง
            ๑. คำว่า ขอบใจ นิยมใช้พูดเพื่อแสดงความขอบใจแก่คนที่มีอายุน้อยกว่าเราเช่น



พี่ขอขอบใจน้องมากที่ช่วยยกกระเป๋าให้


            ๒. คำว่า ขอบคุณ นิยมใช้พูดเพื่อแสดงความขอบคุณสำหรับผู้ที่เสมอกันหรือ
ผู้ที่มีอาวุโสกว่าผู้พูด เช่น



ผมขอขอบคุณคุณนิคมมากที่มาส่งผมที่สถานีรถไฟวันนี้


            ๓. หากต้องการยกย่องเทิดทูนผู้ที่ตนเคารพนับถือมาก ที่ท่านกรุณาช่วยเหลือเรา
หรือให้สิ่งใดแก่เราก็ควรกล่าวว่า ขอบพระคุณ เช่น



ลูกขอกราบขอบพระคุณคุณพ่อคุณแม่มากที่ซื้อของมาฝาก


            ๔. ควรพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ชวนฟัง สุภาพ ไม่รีบร้อนจนเกินไป
            ๕. ควรแสดงท่าทางที่เป็นมิตร นอบน้อม มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
            ๖. ควรพูดให้ผู้ฟังรู้สึกว่า เราซาบซึ้งในพระคุณและจะพยายามหาโอกาสที่จะ
ตอบแทนในโอกาสต่อไป
            ๗. หากเป็นการกล่าวขอบคุณในนามตัวแทน หมู่คณะ ควรพูดให้ชัดเจนว่า
กล่าวขอบคุณในนามของหมู่คณะใด เนื่องในโอกาสอะไร ขอบคุณใคร พูดให้สั้น กะทัดรัด
ได้ความดี
            ๘. โดยทั่วไปแล้ว ถ้าเป็นการขอบคุณผู้ที่เคารพนับถือ หรือผู้มีอาวุโสมากกว่าเรา
การกล่าวขอบคุณมักจะกล่าวพร้อม ๆ กับยกมือไหว้ด้วยเสมอ

ตัวอย่างการกล่าวขอบคุณ
      ๑) การกล่าวขอบคุณผู้มีอาวุโสกว่า



     ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาของท่านกำนันเป็นอย่างยิ่งที่ได้มอบโต๊ะเก้าอี้ จำนวน
     ๑๐ ชุด      แก่เด็กนักเรียนในโรงเรียนนี้ นับเป็นบุญกุศลอันดียิ่งที่เด็ก ๆ   จะได้มีโต๊ะ      เก้าอี้พอเพียงแก่การศึกษาเล่าเรียน ดิฉันและเด็ก ๆ  มีความยินดีในเมตตาจิตของ      ท่านกำนันเป็นอย่างมาก จึงขอกราบขอบพระคุณในความกรุณาของท่านกำนัน ไว้ ณ ที่นี้
          ขอกราบขอบพระคุณค่ะ (พูดจบพร้อมกับยกมือไหว้)


      ๒) การกล่าวขอบคุณในนามหมู่คณะบุคคล


          ผมในนามผู้นำชาวบ้านท่าเวียง ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงต่อท่านนายอำเภอ        ตลอดจนเจ้าหน้าที่จากอำเภอทุกท่านที่ได้มาบริการความสะดวกสบายแก่ประชาชน
     ในบ้านท่าเวียงโดยการนำอำเภอเคลื่อนที่มาบริการวันนี้หากมีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง
     ในการต้อนรับขับสู้ผมและชาวบ้านก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยผมและชาวบ้านทุกคนรู้สึก      ซาบซึ้งและยินดีในความกรุณาของท่านนายอำเภอและเจ้าหน้าที่ทุกท่านผมในนาม
     ชาวบ้านท่าเวียงไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนนอกจากจะขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
     ไว้ ณ ที่นี้ (ยกมือไหว้)


      ๕. การกล่าวอวยพร
            การพูดอวยพร มักใช้ควบคู่ไปกับการแสดงความยินดีหรือแสดงความปรารถนาดี เพราะก่อนจะอวยพรมักต้องแสดงความยินดีมาก่อน หรือถ้าเป็นการกล่าวแสดงความยินดี
โดยแท้จริงก็มักลงท้ายด้วยการอวยพร
            การอวยพรมีหลายโอกาส เช่น ในงานมงคลสมรส งานวันเกิด งานวันปีใหม่
ขึ้นบ้านใหม่ ตลอดจนการอวยพรของผู้หลักผู้ใหญ่ ซึ่งมักเรียกว่า อำนวยพร (อำนวยอวยพร
อวยชัยให้พร ให้ศีลให้พร) แก่ลูกหลาน ลูกศิษย์ ผู้ใต้บังคับบัญชา ฯลฯ ข้อปฏิบัติโดยทั่วไป
ในการพูดอวยพรมีดังนี้
            ๑) พูดด้วยท่าทีร่าเริงเป็นการแสดงความยินดีไปในตัว
            ๒) เริ่มต้นด้วยเสียงค่อนข้างดังเล็กน้อย เป็นการเรียกความสนใจเพราะงานชนิดนี้ มักมีเสียงรบกวนมาก ข้อความตอนต้นควรเป็นใจความง่าย ๆ สั้น ๆ
            ๓) ควรดำเนินเรื่องให้เป็นไปตามความเหมาะสม เช่น ถ้าเป็นงานวันเกิด ควรกล่าว
ถึงความสำคัญในวันเกิด แล้วจึงพูดถึงคุณงามความดี และเกียรติคุณของเจ้าภาพตามสมควร
ถ้าเป็นการแต่งงาน ควรเริ่มด้วยการบอกกล่าวถึงความสัมพันธ์ของท่านกับคู่สมรสฝ่ายใด
ฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่าย ถ้าผู้พูดรู้จักทั้งคู่ ถ้ามีประสบการณ์มากพอควรให้ข้อคิดในชีวิตการ
สมรส แล้วกล่าวแสดงความยินดีที่ทั้งสองฝ่ายได้สมรสกัน อันจะเป็นการก่อสร้างรากฐาน เป็นครอบครัวที่ดีต่อไป
            ๔) ลงท้ายด้วยการกล่าวคำอวยพร ขอให้มีความสุขความเจริญก้าวหน้าสืบต่อไป
การพูดอวยพรถือเป็นการพูดในงานมงคล ไม่ควรจะให้มีถ้อยคำซึ่งไม่น่าปรารถนา
(ไม่เป็นมงคล) ในคำกล่าว เช่น ในงานวันเกิด ไม่ควรมีคำว่า “ตาย” “แก่” “เจ็บป่วย” ฯลฯ ในงานสมรสไม่ควรมีคำว่า “แต่งงานใหม่” ฯลฯ อยู่ด้วยจะดีมาก ไม่ควรพูดยืดยาว ซ้ำซาก ควรทักทายที่ประชุมให้ถูกต้องตามลำดับ คำขึ้นต้นควรให้เร้าความสนใจตอนจบใช้ถ้อยคำ ให้ประทับใจ ในเรื่องจะกล่าวถึงการกล่าวอวยพรเฉพาะงานมงคลที่ใช้กันอยู่เสมอ คือ
      ๕.๑ การกล่าวอวยพรในงานมงคลสมรส การกล่าวในพิธีมงคลสมรส จะใช้เวลาไม่เกิน
๑๐ นาที โดยปกติจะใช้เวลา ๕ – ๗ นาที นิยมพูดปากเปล่า ซึ่งมีหลักการกล่าวที่ควรยึดเป็น
แนวปฏิบัติ ดังนี้
            ๑) กล่าวคำปฏิสันถาร
            ๒) กล่าวถึงความรู้สึกว่าเป็นเกียรติที่ได้ขึ้นมาอวยพร
            ๓) ความสัมพันธ์ของผู้พูดกับคู่บ่าวสาว
            ๔) ให้คำแนะนำในการดำเนินชีวิตและการครองรัก
            ๕) อวยพรและเชิญชวนให้ดื่มอวยพร
      ๕.๒ การกล่าวอวยพรในวันขึ้นปีใหม่ การกล่าวคำอวยพรในวันขึ้นปีใหม่มักจะพูด
ปากเปล่า โดยมีหลักที่ควรยึดเป็นแนวปฏิบัติในการกล่าวดังนี้
            ๑) กล่าวคำปฏิสันถาร
            ๒) กล่าวถึงชีวิตในปีเก่าที่ผ่านมา
            ๓) กล่าวถึงการเริ่มต้นชีวิตใหม่ในปีใหม่
            ๔) อวยพร
      ๕.๓ การกล่าวอวยพรวันคล้ายวันเกิด การกล่าวในพิธีดังกล่าวนิยมพูดปากเปล่า มีหลักการที่ควรยึดเป็นแนวการปฏิบัติในการกล่าวดังนี้
            ๑) คำปฏิสันถาร
            ๒) กล่าวรู้สึกเป็นเกียรติที่มีโอกาสกล่าวคำอวยพร
            ๓) การสร้างคุณงามความดี หรือพูดถึงความสัมพันธ์ที่ผู้พูดมีต่อท่านผู้นั้น
            ๔) การเป็นที่พึ่งของบุตรหลาน
            ๕) อวยพรให้มีความสุข
      วิธีการกล่าวอวยพร มีข้อปฏิบัติที่ควรจำดังนี้
      ๑. ควรกล่าวถึงโอกาสและวันสำคัญนั้น ๆ ที่ได้มาอวยพรว่าเป็นวันสำคัญอย่างไร
ในโอกาสดีอย่างไร มีความหมายแก่เจ้าภาพหรือการจัดงานนั้น อย่างไรบ้าง
      ๒. ควรใช้คำพูดที่สุภาพ ไพเราะ ถูกต้อง เหมาะสมกับกลุ่มผู้ฟัง
      ๓. ควรกล่าวให้สั้น ๆ ใช้คำพูดง่าย ๆ ฟังเข้าใจดี กะทัดรัด กระชับความ น่าประทับใจ
      ๔. ควรกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้อวยพรกับเจ้าภาพ กล่าวให้เกียรติ ชมเชยใน
ความดีของเจ้าภาพและแสดงความปรารถนาดีที่มีต่อเจ้าภาพ
      ๕. ควรใช้คำพูดอวยพรให้ถูกต้อง หากเป็นการอวยพรผู้ใหญ่นิยมอ้างถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่
เคารพนับถือมาประทานพร



ตัวอย่างการกล่าวอวยพรวันเกิด                                                       
        วันนี้เป็นวันอันเป็นมงคลยิ่งคือวันเกิดของหลานรักของลุงลุงมีความยินดีอย่างยิ่ง      ที่เห็นหลานโตวันโตคืน ตลอดเวลา๑๐กว่าปีที่ผ่านมาลุงเฝ้าดูความเจริญ      ของหลาน ด้วยความชื่นใจ มาวันนี้ครบรอบวันเกิดปีที่ ๑๑ แล้วลุงขอให้หลานรัก
     มีแต่ความสุข ความเจริญ มีอายุมั่นขวัญยืน เป็นที่รักของปู่ย่าตายายตลอดไป


ตัวอย่างการอวยพรคู่บ่าวสาว
         สวัสดี……ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพทุกท่านผมรู้สึกมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง
     ที่ได้รับเกียรติ จากเจ้าภาพให้ขึ้นมากล่าวในวันนี้ ผมขอกล่าวจากความรู้สึกที่ได้มา      พบเห็นงานมงคลสมรสในวันนี้ ผมประทับใจมากที่ได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส      ของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ทั้งคู่มีความเหมาะสมกันดีมาก ทั้งผมเองก็เป็นผู้ที่เคย      ทำงานร่วมกันมาทั้งสองคน รู้สึกชอบพออัธยาศัยเป็นอย่างดีและ เห็นว่าทั้งคู่      มีความเข้าอกเข้าใจ ซื่อสัตย์ รักมั่นต่อกันมานานปี เมื่อมางานมงคลสมรสครั้งนี้
     จึงมีความปลื้มปีติเป็นอย่างมากที่ทั้งสองมีความสมหวังสมปรารถนาด้วยกัน      ผมหวังว่าทั้งสองจะครองรักกันให้มั่นคงจีรังได้นานแสนนาน  จึงขออวยพรให้คู่บ่าวสาว      จงรักกัน เข้าใจกัน ทะนุถนอมน้ำใจ มีความซื่อสัตย์ จริงใจต่อกันและรู้จักให้อภัยต่อกัน      ให้มีความร่มเย็นเป็นสุขทุกคืนทุกวัน สวัสดีครับ ……


      ๖. การกล่าวต้อนรับ
            ในโอกาสที่มีผู้มาใหม่ เช่น เจ้าหน้าที่ใหม่ นักศึกษาใหม่ หรือผู้ที่มาเยี่ยมเพื่อ พบปะชมกิจการ ในโอกาสเช่นนี้จะต้องมีการกล่าวต้อนรับเพื่อแสดงอัธยาศัยไมตรีและแสดง
ความยินดี ผู้กล่าวต้อนรับควรเป็นผู้มีฐานะ มีเกียรติเหมาะสมกับฐานะผู้มาเยือน ถ้าเป็นการ กล่าวต้อนรับนิสิตหรือนักศึกษาใหม่ก็มุ่งหมายที่จะให้ความอบอุ่นใจ และให้ทราบถึง สิ่งที่ควร
ปฏิบัติร่วมกันในสถานศึกษานั้น ๆ เป็นต้น การกล่าวต้อนรับควรยึดแนวปฏิบัติดังนี้
            ๖.๑ เริ่มด้วยการกล่าวแสดงความยินดีที่ได้มีโอกาสต้อนรับผู้มาใหม่
(ผู้มาเยี่ยม หรือผู้มาร่วมงาน)
            ๖.๒ กล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการเยี่ยมเยือน เพื่อให้เห็นว่าฝ่ายต้อนรับนั้นเห็นความ
สำคัญของการเยี่ยม ถ้าเป็นผู้ร่วมงาน ก็ควรกล่าวถึงหน้าที่การงาน กิจการในปัจจุบันที่มีความ
สำคัญและเกี่ยวข้องกับผู้มาใหม่ ถ้าเป็นนิสิตหรือนักศึกษาใหม่ ก็ควรชี้ให้เห็นคุณค่าและ
ความจำเป็นที่จะต้องศึกษาวิชาต่าง ๆ แนะนำให้รู้จักสถานศึกษา รวมทั้งให้รู้สึกภูมิใจที่ได้มา
ศึกษาในสถานศึกษาแห่งนั้น
            ๖.๓ แสดงความหวังว่าผู้มาเยี่ยมจะได้รับความสะดวกสบายระหว่างที่พำนักอยู่
ในสถานที่นั้น หรือระหว่างการเยี่ยมเยือนนั้น
            ๖.๔ สรุปเป็นทำนองเรียกร้องให้อาคันตุกะกลับมาเยี่ยมเยือนอีก ส่วนในกรณี
ที่เป็นผู้มาใหม่ก็หวังว่าจะได้ร่วมงานกันตลอดไปด้วยความราบรื่น
          วิธีการกล่าวต้อนรับ
            ๑. ควรกล่าวต้อนรับสั้น ๆ และไม่ควรพูดเกิน ๑๕ นาที
            ๒. ในกรณีผู้มาเยี่ยมนั้นมาเป็นกลุ่มในนามของสถาบัน เช่น องค์การนักศึกษา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาเยี่ยมองค์การนิสิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้กล่าวต้อนรับ
จะกล่าวแสดงความยินดีและกล่าวอ้างถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองสถาบัน พร้อมทั้งย้ำ
ถึงความร่วมมือของสถาบันทั้งสองในโอกาสต่อไปด้วย จะจบด้วยการสรุปตามหลักข้างต้นก็ได้


      ๗. การพูดสนทนาทางโทรศัพท์
            การติดต่อสื่อสารทางโทรศัพท์นับเป็นการสื่อสารที่รวดเร็ว สะดวก ประหยัดและ
แทบจะใช้ได้ทั่วโลกอย่างไม่จำกัดพื้นที่ จึงเป็นการสื่อสารที่นิยมกันมากที่สุด การพูดโทรศัพท์
มีความสำคัญและมีบทบาทอย่างมากในการดำรงชีวิต ดังนั้นควรต้องระมัดระวังการใช้คำพูด
ในการติดต่อสื่อสาร นอกจากนี้ควรได้มีการศึกษาที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับมารยาท ประเพณี
ปฏิบัติที่ควรทำในขณะติดต่อสื่อสารทางโทรศัพท์ ซึ่งมีหลักดังนี้
            ภาษาที่ใช้ในการพูดโทรศัพท์ การพูดโทรศัพท์ควรใช้ภาษาให้เหมาะสม
ตามสถานการณ์ต่าง ๆ ดังนี้
            ๗.๑ กล่าวทักทายเมื่อรับโทรศัพท์ด้วยคำว่า “สวัสดี” พร้อมทั้งแจ้งหมายเลข
โทรศัพท์ให้ทราบ และถามความประสงค์ของผู้ที่โทรมาว่าต้องการติดต่อกับใคร เรื่องอะไร
แล้วรีบติดต่อให้ทันที หากผู้ที่ต้องการติดต่อไม่อยู่ก็ถามความประสงค์ของผู้ที่โทรว่าต้องการ
ฝากข้อความ หรือเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อกลับได้ภายหลังหรือไม่
            ๗.๒ กรณีที่เราเป็นผู้ติดต่อไป ควรตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ให้ถูกต้องเสียก่อน
และระบุชื่อผู้รับให้ชัดเจน หากต้องขอร้องให้ผู้รับสายไปตามให้ ต้องขอบคุณผู้รับสายทันที ในกรณีที่ต้องฝากข้อความหรือเบอร์โทรกลับควรเป็นข้อความที่ชัดเจนและสั้นที่สุด
            ๗.๓ การพูดโทรศัพท์ควรใช้เวลาจำกัด พูดคุยเฉพาะเรื่องที่จำเป็นโดยเฉพาะ
โทรศัพท์สาธารณะหรือโทรศัพท์ที่มีผู้ใช้ร่วมด้วยหลายคน เช่น หน่วยงาน องค์การ บริษัท
และควรใช้ภาษาน้ำเสียงที่ชัดเจน สุภาพและเป็นมิตร
            ๗.๔ ใช้ถ้อยคำที่เหมาะสม เลือกคำที่จำเป็นมาใช้ เช่น ขออภัย ขอโทษ ขอบคุณ
กรุณา ฯลฯ
            ๗.๕ ในกรณีมีผู้โทรมาผิด ควรบอกสถานที่ที่ถูกต้องให้ทราบหรือถ้าเราโทรไปผิด
ก็ควรจะกล่าวคำขอโทษอย่างสุภาพ
            ๗.๖ ในขณะโทรศัพท์หากมีความจำเป็นต้องหยุดพูดชั่วขณะ
ต้องบอกให้ผู้ที่กำลังพูดโทรศัพท์อยู่ทราบและขอให้รอ เช่น กรุณารอสักครู่นะครับ
            ๗.๗ ไม่ควรวางหูโทรศัพท์ก่อนจบการพูดและไม่ควรปล่อยให้ผู้โทรศัพท์มา
คอยนาน
            ๗.๘ ไม่อม ขบเคี้ยวอาหารขณะโทรศัพท์
            ๗.๙ ไม่ปล่อยโทรศัพท์เรียกสายนานเกินไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น